นพ.สำราญ อาบสุวรรณ : ผู้เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย อยู่ด้วยธรรมชาติบำบัด
ธรรมปราโมทย์ (2552 : 206-207) กล่าวว่า คุณหมอเป็นคนแข็งแรง ดูแลตัวเองดี ร่างกายแข็งแรงดี ออกกำลังกายเป็นประจำ ขี่จักรยานเสือภูเขาวันละ 10 กิโลเมตร เช้า-เย็น สัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเป็นมะเร็งก็คือ จากที่เคยเป็นคนแข็งแรงก็เริ่มอ่อนแอ เหนื่อยง่าย มีผมหงอกเร็วและผมร่วงมาก ฟันโยกเกือบทั้งปาก มีกลิ่นตัวเหม็นผิดปกติ และที่สำคัญที่สุดคือนอนไม่หลับ
จนกระทั่งเจ็บชายโครงด้านขวาจึงได้ตรวจเอกซเรย์พบน้ำในช่องปอดจึงให้แพทย์ตรวจต่อโดยเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ ผลการตรวจ ก็พบว่าเป็นมะเร็งเมื่อได้ฟังนายแพทย์ที่เป็นเพื่อนบอกว่า เป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ขนาดเตรียมใจฟังอยู่แล้ว ก็ยังมือไม้สั่นตกใจและคิดว่าตัวเองต้องตายแน่นอนภายใน 1 เดือน นอนร้องไห้ คิดมากรู้สึกเศร้าใจในชีวิตเพราะสิ่งที่ห่วงมากที่สุดคือครอบครัวรู้สึกสับสนวุ่นวายใจอย่างมากที่สุดในชีวิต
คุณหมอเชื่อในวิชาการแพทย์สมัยใหม่ในการให้เคมีบำบัด 40% และมีความศรัทธาเชื่อมั่นในวิธีการ “ธรรมชาติบำบัด” 60% แต่หลัก ๆ แล้วคุณหมอใช้“ธรรมชาติบำบัด” เป็นเครื่องนำทางเส้นสุดท้ายของชีวิต คุณหมอจึงรีบปฏิบัติตนเองภายใน 10 วัน ก้อนเนื้อมะเร็งลดลงไป 20% เซลล์มะเร็งสลายตัวอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากที่คิดว่าต้องตายกลับมีแรงกายแรงใจอย่างวิเศษ อาการของโรคลดลงไป ก้อนเนื้อมีขนาดเล็กลงและเสมหะที่เคยมีเลือดก็ไม่มีเลือด จากเหนื่อยง่ายก็ลดลงอาการเจ็บชายโครงก็ทุเลาลง
คุณหมอฝากบอกว่าคนที่เป็นมะเร็งให้รีบใช้วิธีธรรมชาติบำบัดให้เร็วที่สุดอย่าปล่อยให้มะเร็งแข็งแรง คนส่วนใหญ่ที่ไปให้คีโมซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วใช้ธรรมชาติบำบัดตอนระยะหลัง ๆ ต้องใช้ความอดทนความเข้มงวดมากขึ้นถึงจะต่อสู้กับโรคนี้ได้ขอให้ทำตามวิธีธรรมชาติบำบัดแต่เริ่มแรกให้ไวที่สุดคือทันทีที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง อย่ามัวรีรอแล้วโอกาสที่จะหายจากมะเร็งก็จะมีมากกว่าคนที่ลังเลสงสัยอยู่
ปัจจุบัน คุณหมอหายจากโรคมะเร็งโดยเด็ดขาดแล้วเพราะธรรมชาติบำบัด
ผลที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายแต่ของละบุคคล และ การดำเนินชีวิตในประจำวันที่ถูกต้อง
เอกสารอ้างอิง :ธรรมปราโมทย์ (พระครูสันติธรรมรังสี).หนทางพิชิตมะเร็ง แนวทางป้องกัน-รักษา (พิมพ์ครั้งที่2).กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม, 2552.